การวิเคราะห์พฤติกรรมของ ChatGPT ในหัวข้อการแพทย์และกฎหมาย: ความคงที่ที่สวนทางกับข่าวลือออนไลน์
รายงานล่าสุดได้ทำการตรวจสอบความถูกต้องของข่าวลือที่แพร่สะพัดในชุมชนออนไลน์ ซึ่งอ้างว่าระบบปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้าง (Generative AI) อย่าง ChatGPT ได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการตอบสนองในประเด็นที่ละเอียดอ่อนและมีความสำคัญสูง เช่น คำแนะนำทางการแพทย์และทางกฎหมาย ผลการวิเคราะห์ที่เผยแพร่ออกมากลับชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พฤติกรรม ข้อจำกัด และการปฏิเสธความรับผิดชอบ (Disclaimers) ของ ChatGPT ในการให้คำปรึกษาที่เกี่ยวข้องกับสองสาขาวิชานี้ ยังคงลักษณะเดิมไว้ ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ อย่างมีนัยสำคัญตามที่ข่าวลือกล่าวอ้าง
การตรวจสอบนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อตอบข้อสงสัยที่ว่า OpenAI ซึ่งเป็นผู้พัฒนา ChatGPT ได้ทำการ “ปิดกั้น” (Censor) หรือจำกัดความสามารถของโมเดลในการให้ข้อมูลเฉพาะทางเหล่านี้มากขึ้นหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการอัปเดตโมเดลหรือการเปลี่ยนแปลงนโยบายภายในบางประการ
วิธีการตรวจสอบและความคงที่ของคำตอบ
นักวิจัยได้ทำการทดสอบโดยตั้งคำถามไปยัง ChatGPT ในประเด็นที่ปกติแล้วจะต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในการตอบ ซึ่งรวมถึง:
- คำถามทางการแพทย์: คำถามที่ต้องการการวินิจฉัยเบื้องต้น (Preliminary Diagnosis) หรือคำแนะนำด้านสุขภาพที่เฉพาะเจาะจง
- คำถามทางกฎหมาย: คำถามที่ต้องการคำแนะนำด้านกฎหมาย การตีความข้อบังคับ หรือการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการดำเนินคดี
ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่า ในแทบทุกกรณี ChatGPT ยังคงยึดมั่นในนโยบายมาตรฐานของตน นั่นคือ การปฏิเสธที่จะให้คำแนะนำทางการแพทย์หรือคำปรึกษาทางกฎหมายที่ถือเป็นการแทนที่ผู้เชี่ยวชาญที่มีใบอนุญาตปฏิบัติงาน (Licensed Professionals) โมเดลจะยังคงให้การตอบสนองที่ระมัดระวัง โดยเน้นย้ำถึงบทบาทของตนในฐานะเครื่องมือช่วยในการให้ข้อมูลทั่วไป (General Information Tool) เท่านั้น
กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงด้านการแพทย์และกฎหมาย
สำหรับหัวข้อทางการแพทย์และกฎหมาย การดำเนินการของ ChatGPT เป็นไปตามกรอบการบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวดของ OpenAI เพื่อป้องกันการให้ข้อมูลที่ผิดพลาด (Misinformation) หรือเป็นอันตราย (Harmful Advice) ซึ่งอาจนำไปสู่ผลกระทบทางสุขภาพหรือปัญหาทางกฎหมายร้ายแรงสำหรับผู้ใช้
- การใช้คำปฏิเสธความรับผิดชอบเชิงรุก (Proactive Disclaimers): เมื่อผู้ใช้สอบถามถึงอาการป่วยหรือข้อพิพาททางกฎหมาย ChatGPT จะตอบกลับด้วยการเตือนที่ชัดเจนและสม่ำเสมอ โดยระบุว่าตนไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์หรือทนายความ และข้อมูลที่ให้นั้นไม่ควรถือเป็นคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ ความถี่และความชัดเจน ของคำปฏิเสธเหล่านี้ยังคงที่
- การเปลี่ยนทิศทางการตอบ (Redirection): แทนที่จะให้คำตอบที่เจาะจง โมเดลจะแนะนำให้ผู้ใช้ปรึกษากับแพทย์ พยาบาลผู้เชี่ยวชาญ หรือทนายความที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในเขตอำนาจศาลที่เกี่ยวข้อง วิธีการนี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของ OpenAI ในการหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ (Liability) และการให้ข้อมูลที่ถูกต้องตามหลักวิชาชีพ
ความเข้าใจในบริบทของข่าวลือออนไลน์
ข่าวลือที่ว่า ChatGPT ถูกจำกัดมากขึ้นอาจเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ:
- การปรับปรุงความละเอียดของคำปฏิเสธ: แม้ว่าเนื้อหาหลักของการปฏิเสธจะคงที่ แต่การปรับปรุงภาษาหรือการจัดวางโครงสร้างคำตอบเพื่อให้ผู้ใช้รับทราบถึงข้อจำกัดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น อาจถูกตีความผิดว่าเป็นการจำกัดความสามารถของโมเดล
- การตีความคำตอบที่ไม่ชัดเจน: ผู้ใช้บางรายอาจพยายามใช้คำถามที่กำกวมเพื่อหลีกเลี่ยงการกระตุ้นคำปฏิเสธ ทำให้การตอบสนองที่ได้รับมีความคลุมเครือ และนำไปสู่การตีความว่าโมเดลไม่เต็มใจที่จะตอบ
- ความคาดหวังที่เพิ่มขึ้น: เมื่อเทคโนโลยี AI พัฒนาขึ้น ผู้ใช้มีความคาดหวังว่าโมเดลจะสามารถให้คำแนะนำที่ลึกซึ้งและเฉพาะเจาะจงเหมือนมนุษย์มากขึ้น เมื่อโมเดลยังคงยึดมั่นในขีดจำกัดเดิม จึงถูกมองว่ามีการถดถอยหรือ “ปิดกั้น” ความสามารถ
ข้อสรุปเชิงนัยสำหรับองค์กรและผู้ใช้งาน
ผลการตรวจสอบนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับองค์กรและผู้บริโภคที่พึ่งพา AI ในการสร้างข้อมูล โดยยืนยันว่า กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงด้านข้อมูลของ ChatGPT ในประเด็นสำคัญยังคงมีความเสถียรและสอดคล้องกัน องค์กรที่บูรณาการระบบ AI เข้ากับการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์หรือกฎหมาย ควรตระหนักว่าระบบเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องมือสนับสนุนข้อมูลทั่วไปเท่านั้น ไม่ใช่การตัดสินใจหรือการให้คำปรึกษาเฉพาะทาง การพึ่งพาคำตอบของ AI โดยปราศจากการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญที่มีใบอนุญาตยังคงเป็นความเสี่ยงทางธุรกิจและกฎหมายที่สูงมาก
โดยสรุป พฤติกรรมการใช้คำเตือนและข้อจำกัดในหัวข้อการแพทย์และกฎหมายของ ChatGPT ยังคงเป็นแนวทางปฏิบัติมาตรฐานและไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่เข้มงวดมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ดังที่ข่าวลือในโลกออนไลน์ได้กล่าวอ้าง
This Article is sponsored by Gnoppix AI (https://www.gnoppix.org)