Google ให้ความสำคัญกับเมตริกโทเค็น ไม่ใช่รายได้ ซึ่งยิ่งทำให้เกิดการถกเถียงเกี่ยวกับความเติบโตของ AI

การขับเคลื่อนของ Google ด้วยตัวชี้วัดโทเค็น: การวิเคราะห์เชิงธุรกิจเกี่ยวกับศักยภาพการเติบโตของปัญญาประดิษฐ์

ในช่วงเวลาที่การลงทุนในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Google ได้เลือกใช้กลยุทธ์การสื่อสารที่เน้นการเติบโตโดยอาศัยมาตรวัดที่แตกต่างออกไป นั่นคือ “โทเค็น” (Tokens) แทนที่จะเป็นตัวเลขรายได้ (Revenue) ที่เป็นมาตรฐานตามปกติ การเลือกใช้มาตรวัดนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการประเมินสถานะและทิศทางในระยะยาวของตลาด AI โดยรวม

การวัดผลการดำเนินงานผ่าน ‘โทเค็น’

โทเค็น นับเป็นหน่วยพื้นฐานในการประมวลผลข้อมูลของแบบจำลองภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Models - LLMs) และระบบ AI เชิงสร้างสรรค์ (Generative AI) โดยสามารถเทียบได้กับจำนวนคำ, พยางค์, หรือหน่วยข้อมูลย่อยที่ระบบ AI ประมวลผลหรือสร้างขึ้น การที่ Google เน้นการวัดผลการเติบโตด้วยจำนวนโทเค็นที่ประมวลผลได้หลายล้านล้านโทเค็นต่อวัน สำหรับการให้บริการของ Gemini และ Search Generative Experience (SGE) นั้น สะท้อนให้เห็นถึงการใช้งานผลิตภัณฑ์เชิงลึกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

การนำเสนอมาตรวัดนี้มีนัยสำคัญสองประการ:

  1. การแสดงถึงการยอมรับของตลาดเชิงเทคนิค: จำนวนโทเค็นที่สูงแสดงให้เห็นถึงความถี่และปริมาณของการนำเครื่องมือ AI ไปใช้จริงของผู้ใช้งาน ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดความสำเร็จทางเทคนิคและประสิทธิภาพของแบบจำลอง
  2. การเบี่ยงเบนจากมาตรวัดทางการเงินแบบดั้งเดิม: ในช่วงเริ่มต้นของการระเบิดของนวัตกรรม AI การแปลงการใช้งานจำนวนมหาศาลให้เป็นรายได้ที่ชัดเจนและสม่ำเสมอเป็นเรื่องที่ท้าทาย การใช้โทเค็นจึงช่วยให้ Google สามารถแสดงภาพการขยายตัวของฐานผู้ใช้และการมีส่วนร่วมได้อย่างชัดเจน ก่อนที่ผลตอบแทนทางการเงินจะปรากฏเป็นรูปธรรม

ผลกระทบต่อการประเมินมูลค่าตลาด

การที่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีหันมาเน้นตัวเลขการใช้งานและประสิทธิภาพ (Usage and Performance Metrics) แทนที่จะเป็นตัวเลขทางการเงินขั้นต้น (Top-line Financials) ได้สร้างความกังวลในหมู่นักวิเคราะห์บางส่วนว่าอาจเป็นการสร้าง “ฟองสบู่” (Bubble Talk) ในตลาด AI การเติบโตของมูลค่าบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยคำมั่นสัญญาและมาตรวัดเชิงการใช้งาน แสดงให้เห็นถึงการคาดการณ์ที่สูงลิ่วเกี่ยวกับศักยภาพในอนาคต ซึ่งยังไม่ได้รับการยืนยันด้วยผลกำไรที่จับต้องได้ในปัจจุบัน

การประเมินมูลค่าบริษัทในยุค AI มักถูกขับเคลื่อนด้วยความเชื่อมั่นในนวัตกรรม มากกว่ากระแสเงินสดตามหลักบัญชีทั่วไป นักลงทุนพร้อมที่จะจ่ายในราคาสูงเพื่อเป็นเจ้าของเทคโนโลยีที่มีโอกาสครองตลาดในอนาคต แต่ความเสี่ยงที่มาพร้อมกับการเน้นมาตรวัดที่ไม่ใช่รายได้คือ การขาดความโปร่งใสในการวัด “มูลค่าทางเศรษฐกิจ” ที่แท้จริงของการประมวลผลโทเค็นเหล่านั้น

การเปลี่ยนผ่านสู่การสร้างรายได้ที่ยั่งยืน

แม้ว่าการประมวลผลหลายล้านล้านโทเค็นต่อวันจะเป็นข้อพิสูจน์ถึงความสามารถในการปรับขนาด (Scalability) และการยอมรับในผลิตภัณฑ์ แต่ Google ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายในการเปลี่ยนปริมาณการใช้งานนี้ให้กลายเป็นรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน นักวิเคราะห์ต่างตั้งคำถามถึงระยะเวลาที่ต้องใช้ในการแปลง “อัตราการประมวลผล” ให้เป็น “อัตราการสร้างรายได้” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทที่ต้นทุนการคำนวณ (Computing Costs) สำหรับการดำเนินงานของ AI ยังคงอยู่ในระดับสูง

บทสรุปเชิงกลยุทธ์

กลยุทธ์ของ Google ในการใช้ “โทเค็น” เป็นตัวชี้วัดหลักในช่วงนี้เป็นการเน้นย้ำว่า บริษัทกำลังอยู่ในช่วง “การลงทุนเชิงรุกและขยายฐาน” (Aggressive Investment and Base Expansion Phase) ในวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ AI การวัดผลด้วยโทเค็นช่วยให้บริษัทสามารถป้องกันตนเองจากการประเมินที่เข้มงวดเกินไปเกี่ยวกับอัตราผลตอบแทนระยะสั้น และสามารถแสดงให้เห็นถึงการเป็นผู้นำด้านปริมาณและประสิทธิภาพการประมวลผล

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดความมั่นคงเชิงธุรกิจในระยะยาว ตลาดจำเป็นต้องเห็นการเปลี่ยนผ่านที่ชัดเจนจากมาตรวัดเชิงการใช้งานไปสู่การรายงานผลกำไรที่แข็งแกร่ง การดำเนินการที่โปร่งใสในการเชื่อมโยงระหว่างปริมาณโทเค็นที่ประมวลผลกับมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ผู้ใช้งานได้รับ จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นและลดความกังวลเกี่ยวกับฟองสบู่ในตลาด AI

การปรับตัวของมาตรวัดผลตอบแทนนี้เป็นตัวอย่างสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift) ในการประเมินมูลค่าบริษัทเทคโนโลยีในช่วงของการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีครั้งใหญ่

This Article is sponsored by Gnoppix AI (https://www.gnoppix.org)