Google ได้ผนวกข้อมูล Google Maps แบบเรียลไทม์เข้ากับชุดโมเดล Gemini เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการให้ข้อมูลเชิงพื้นที่ที่ทันสมัยและแม่นยำยิ่งขึ้น การผนวกรวมข้อมูลนี้เป็นการต่อยอดจากการที่ Google ได้รวมฟังก์ชันการทำงานของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เข้ากับโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของตนเอง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่พัฒนามาจากชุดโมเดล LaMDA และ Bard ก่อนหน้า
ความสามารถใหม่นี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถรับคำตอบที่ละเอียดและเป็นปัจจุบันเกี่ยวกับสถานที่ต่าง ๆ ได้โดยตรงผ่านการสนทนากับ Gemini แทนที่จะต้องค้นหาข้อมูลใน Google Maps แยกต่างหาก ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้สอบถามเกี่ยวกับร้านอาหารหรือสถานที่เฉพาะแห่ง Gemini สามารถดึงข้อมูลแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับที่ตั้ง เวลาเปิด-ปิด ความหนาแน่นของปริมาณผู้คน (Crowding level) และตำแหน่งที่ชัดเจนบนแผนที่ ซึ่งทั้งหมดนี้คือข้อมูลที่มาจาก Google Maps โดยตรง
การขยายขอบเขตข้อมูลของ Gemini ไปสู่ข้อมูลภูมิสารสนเทศ (Geospatial Data) ถือเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญในการมอบคุณค่าที่เพิ่มขึ้นจากผู้ช่วย AI การผสมผสานข้อมูลจากเครื่องมือที่เชื่อถือได้เช่น Google Maps เข้ากับความสามารถในการให้เหตุผลและการสรุปของโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ทำให้ Gemini สามารถให้บริการที่ครอบคลุมมากกว่าการให้ข้อมูลพื้นฐาน
Gemini สามารถตอบคำถามที่ซับซ้อนซึ่งต้องใช้การอ้างอิงข้อมูลหลายมิติได้ เช่น การวางแผนการเดินทางหรือการค้นหาสถานที่ที่ตอบสนองต่อเงื่อนไขเฉพาะเจาะจง ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้กำลังวางแผนการเดินทางไปยังสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง และต้องการทราบว่ามีร้านกาแฟใดที่เปิดให้บริการในขณะนั้น และอยู่ในระยะที่เดินถึงได้จากจุดที่ต้องการ ข้อมูลเรียลไทม์จาก Google Maps จะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างคำตอบที่ถูกต้องตามบริบทและเป็นปัจจุบัน
ผู้ใช้มีทางเลือกในการปิดใช้งานการรวมข้อมูลจาก Google Maps และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของ Google ผ่านส่วนขยาย (Extensions) ในการตั้งค่าของ Gemini ตัวเลือกนี้เป็นไปตามนโยบายของ Google ที่ให้ผู้ใช้สามารถควบคุมแหล่งข้อมูลที่ Gemini ใช้ในการสร้างคำตอบ นโยบายนี้ถูกยกมาใช้ครั้งแรกเมื่อมีการเปิดตัวส่วนขยายสำหรับ Bard ซึ่งเป็นโมเดล AI รุ่นก่อนหน้า โดยส่วนขยายเหล่านี้ได้รวมการเข้าถึงข้อมูลจากผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น Google Flights, Google Hotels, Google Workspace, และ Google Search ไว้ด้วย
การรวมข้อมูล Google Maps เข้ากับ Gemini นี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ที่กว้างขึ้นของ Google ในการรวมบริการและระบบนิเวศ (Ecosystem) ของตนเข้ากับเทคโนโลยี AI อย่างลึกซึ้ง การดำเนินการนี้ส่งผลให้ Gemini ไม่ได้เป็นเพียงโมเดล AI ที่ใช้ข้อมูลที่ถูกฝึกฝน (Pre-trained data) เท่านั้น แต่ยังสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาของโลกภายนอก (Real-time external data) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แม้ว่าข้อมูลเรียลไทม์จะมาจาก Google Maps แต่ Google ได้เน้นย้ำว่าการโต้ตอบของผู้ใช้กับ Gemini จะไม่ถูกนำไปใช้แก้ไขหรือเผยแพร่บน Google Maps โดยอัตโนมัติ การใช้ข้อมูลนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงความถูกต้องและความเกี่ยวข้องของคำตอบที่ Gemini สร้างขึ้นเท่านั้น
การพัฒนาคุณสมบัตินี้เป็นการตอกย้ำถึงการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดผู้ช่วย AI ซึ่งบริษัทต่าง ๆ กำลังเร่งรวมขีดความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลภายนอกและข้อมูลเรียลไทม์เข้ากับโมเดลของตน เพื่อให้บริการที่เหนือกว่าคู่แข่ง ซึ่งในกรณีของ Google คือการใช้ประโยชน์จากขนาดและความลึกของฐานข้อมูลที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์ Gemini ในฐานะผู้ช่วย AI ที่ชาญฉลาดและรอบด้านยิ่งขึ้นสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันและเชิงธุรกิจ
การรวมข้อมูลนี้ได้รับการเผยแพร่สู่ผู้ใช้โดยทั่วไปแล้ว และถือเป็นการอัปเดตครั้งสำคัญสำหรับชุดโมเดล Gemini โดยขยายขีดความสามารถในการตอบคำถามที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งและเวลาได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจและการวางแผนในสถานการณ์จริง
This Article is sponsored by Gnoppix AI (https://www.gnoppix.org)