เอไอจุดประกายคลื่นลูกใหม่ของใบเสร็จปลอม ตามที่ SAP Concur รายงาน

เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังผลักดันให้เกิดคลื่นลูกใหม่ของการฉ้อโกงใบเสร็จปลอม ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบการจัดการค่าใช้จ่ายและการดำเนินงานภายในองค์กร จากรายงานล่าสุดของ SAP Concur ผู้ให้บริการชั้นนำด้านโซลูชันการจัดการค่าใช้จ่ายและการเดินทาง พบว่าเครื่องมือ AI สร้างเนื้อหา (Generative AI) กำลังเปลี่ยนวิธีการสร้างเอกสารเท็จให้ซับซ้อนและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

ผลกระทบของ AI ต่อการทุจริตใบเสร็จ

เดิมที การปลอมแปลงใบเสร็จมักต้องอาศัยทักษะด้านการตัดต่อภาพหรือซอฟต์แวร์เฉพาะทาง ซึ่งมักทิ้งร่องรอยหรือความไม่สมบูรณ์ที่สามารถตรวจจับได้ง่าย แต่ด้วยความสามารถของ AI ในการสร้างภาพและข้อความที่สมจริงอย่างน่าทึ่ง ทำให้ผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถสร้างใบเสร็จปลอมที่มีคุณภาพสูงในเวลาอันสั้นและต้นทุนต่ำ

SAP Concur ระบุว่า ปัจจุบันผู้ทุจริตสามารถใช้เครื่องมือ AI เพื่อ:

  1. สร้างใบเสร็จใหม่จากศูนย์ (Ground Up Generation): AI สามารถสร้างใบเสร็จที่มีองค์ประกอบครบถ้วน ตั้งแต่โลโก้ของร้านค้า ลายน้ำ ไปจนถึงแบบอักษร (fonts) และการจัดวาง (layout) ที่เลียนแบบต้นฉบับได้อย่างไร้ที่ติ ทำให้ยากต่อการแยกแยะด้วยตาเปล่า

  2. ดัดแปลงใบเสร็จจริง (Manipulation of Authentic Receipts): AI สามารถแก้ไขรายละเอียดที่สำคัญบนใบเสร็จที่ถูกต้อง เช่น วันที่ จำนวนเงิน หรือรายการสินค้า โดยไม่ทิ้งร่องรอยการตัดต่อที่ชัดเจนในระดับพิกเซล ทำให้ระบบตรวจจับอัตโนมัติ (Automated Detection Systems) และพนักงานตรวจสอบหลงเชื่อได้ง่ายขึ้น

นักวิเคราะห์ด้านการจัดการค่าใช้จ่ายสังเกตเห็นว่า ใบเสร็จปลอมยุคใหม่ที่สร้างโดย AI มีความสอดคล้องทางด้านรูปแบบและบริบทสูงมาก เช่น ความสมจริงของรอยยับหรือรอยเปื้อน (artifacting) ที่มักปรากฏบนเอกสารที่สแกน ซึ่งเป็นการเพิ่มความท้าทายให้กับระบบควบคุมภายในของธุรกิจ

การยกระดับภัยคุกคามทางธุรกิจ

การเพิ่มขึ้นของใบเสร็จปลอมคุณภาพสูงมีนัยสำคัญต่อความเสี่ยงทางการเงินและการดำเนินงานของธุรกิจ:

  • ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบที่เพิ่มขึ้น: เมื่อระบบอัตโนมัติไม่สามารถพึ่งพาได้ ธุรกิจจำเป็นต้องเพิ่มบุคลากรหรือเวลาในการตรวจสอบเอกสารด้วยตนเอง ซึ่งเป็นการเพิ่มต้นทุนการดำเนินงาน (Operational Overhead)
  • การสูญเสียทางการเงินโดยตรง: การอนุมัติการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายที่ไม่เกิดขึ้นจริง หรือการเบิกเกินจริง ส่งผลให้เกิดการรั่วไหลของเงินทุนในองค์กร
  • ความเสี่ยงด้านการกำกับดูแลและการปฏิบัติตามข้อกำหนด (Compliance Risk): การมีเอกสารทางการเงินปลอมปนในระบบอาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของรายงานทางการเงินในกรณีที่มีการตรวจสอบจากภายนอก

มาตรการรับมือขององค์กรธุรกิจ

ในการตอบโต้ภัยคุกคามที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็วนี้ SAP Concur เน้นย้ำว่าธุรกิจจำเป็นต้องปรับปรุงกลไกการตรวจจับของตนเอง โดยเฉพาะการใช้ AI ในการต่อสู้กับ AI

  1. การปรับใช้นวัตกรรมตรวจจับเชิงลึก (Advanced Detection Analytics):

    • การวิเคราะห์ข้อมูลเมตา (Metadata Analysis): ตรวจสอบแหล่งที่มาและข้อมูลแฝงของไฟล์ใบเสร็จ แทนที่จะพึ่งพาเพียงรูปลักษณ์ภายนอก
    • การตรวจสอบความสอดคล้องเชิงพฤติกรรม (Behavioral Consistency Checks): ระบบควรวิเคราะห์รูปแบบการเบิกจ่ายของผู้ใช้ เทียบกับประวัติและนโยบายขององค์กร เพื่อระบุความผิดปกติที่อาจบ่งชี้ถึงการฉ้อโกง (เช่น การเบิกจ่ายจำนวนเงินเท่ากันซ้ำๆ จากผู้ค้ารายที่ไม่รู้จัก)
    • การใช้ AI เพื่อค้นหารูปแบบที่เกิดซ้ำ: พัฒนาโมเดลการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning Models) ที่สามารถระบุลักษณะเฉพาะทางเทคนิคของภาพที่สร้างโดย Generative AI
  2. การยกระดับนโยบายองค์กร: ธุรกิจควรมีการสื่อสารที่ชัดเจนเกี่ยวกับมาตรฐานการเก็บเอกสารต้นฉบับ และกำหนดบทลงโทษที่รุนแรงสำหรับการฉ้อโกงค่าใช้จ่าย ควบคู่ไปกับการฝึกอบรมพนักงานให้ตระหนักถึงความเสี่ยงของการใช้เครื่องมือ AI ในทางที่ผิด

การกำเนิดของเทคโนโลยี AI เป็นดาบสองคม ในขณะที่มันมอบประสิทธิภาพให้กับธุรกิจ แต่ก็สร้างเครื่องมือใหม่ที่มีศักยภาพสูงให้แก่อาชญากรทางการเงินด้วยเช่นกัน ธุรกิจที่ใช้ SAP Concur และระบบจัดการค่าใช้จ่ายอื่น ๆ จึงจำเป็นต้องยกระดับความสามารถในการตรวจสอบอย่างต่อเนื่องเพื่อตามให้ทันกับวิวัฒนาการของการทุจริตที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์นี้

This Article is sponsored by Gnoppix AI (https://www.gnoppix.org)