ศักยภาพของหน่วยความจำ ChatGPT: การเปลี่ยนข้อมูลส่วนบุคคลสู่โอกาสทางการตลาด
แซม อัลต์แมน (Sam Altman), ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ OpenAI, เคยกล่าวถึงระบบปัญญาประดิษฐ์ที่ใช้ข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการโฆษณาว่าเป็น “โลกดิสโทเปีย” (dystopian) อย่างไรก็ตาม แนวคิดเกี่ยวกับ “หน่วยความจำ” (Memory) ที่เปิดตัวใน ChatGPT เมื่อเร็วๆ นี้ ได้จุดประเด็นด้านจริยธรรม และการใช้งานเชิงพาณิชย์ที่อาจขัดแย้งกับคำกล่าวเดิมของเขาอย่างชัดเจน
คุณสมบัติหน่วยความจำของ ChatGPT: ความก้าวหน้าของการปรับแต่งเฉพาะบุคคล
คุณสมบัติหน่วยความจำที่ได้รับการพัฒนาใหม่นี้ช่วยให้ ChatGPT สามารถ “จดจำ” ข้อมูลที่ผู้ใช้ให้ไว้ในระหว่างการสนทนาต่างๆ ข้อมูลที่ถูกจดจำนี้ไม่เพียงแต่ครอบคลุมถึงความชอบเฉพาะด้าน หรือรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงรายละเอียดที่สำคัญและเป็นส่วนตัว (highly personal details) อีกด้วย เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพ, ความสัมพันธ์ส่วนบุคคล, อาชีพ, สถานที่ที่ผู้ใช้และครอบครัวอาศัยอยู่ หรือแม้กระทั่งมุมมองทางการเมือง นี่คือการยกระดับความสามารถของแบบจำลองภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) จากการตอบคำถามเป็นครั้งคราว (stateless interactions) ไปสู่การเป็นผู้ช่วยดิจิทัลที่มีบริบทและมีความรู้สะสม (contextual and cumulative knowledge)
ในปัจจุบัน ChatGPT ให้ความโปร่งใสในระดับหนึ่ง โดยอนุญาตให้ผู้ใช้ควบคุมและจัดการหน่วยความจำที่จัดเก็บไว้ได้ทั้งในรูปแบบการเปิด/ปิดคุณสมบัตินี้ทั้งหมด หรือการลบข้อมูลที่ถูกจดจำบางส่วน อย่างไรก็ตาม ข้อมูลส่วนตัวที่ถูกรวบรวมไว้ผ่านการสนทนานั้น มีศักยภาพที่จะนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้อย่างมหาศาล
การวิเคราะห์ความเสี่ยง: การเปลี่ยนข้อมูลส่วนบุคคลเป็นเครื่องมือโฆษณา
ข้อมูลที่ถูกจัดเก็บในหน่วยความจำของ ChatGPT มีความละเอียดและเป็น “ข้อมูลเชิงลึก” (deep insights) ในระดับที่สูงกว่าข้อมูลที่ได้จากการติดตามเว็บแบบดั้งเดิม (traditional web tracking) โดยทั่วไปนักการตลาดใช้คุกกี้ (cookies) หรือกิจกรรมการเรียกดู (browsing activity) เพื่อประเมินความสนใจของผู้ใช้และนำเสนอโฆษณาที่เกี่ยวข้อง แต่หน่วยความจำของ ChatGPT สามารถให้ข้อมูลที่ตรงไปตรงมาเกี่ยวกับความต้องการและสถานการณ์ชีวิตของผู้ใช้ได้อย่างเจาะจง
ยกตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้ให้ข้อมูลกับ ChatGPT ว่าพวกเขามีอาการป่วยเรื้อรัง (chronic illness) หรือกำลังพิจารณาการซื้อบ้านหลังที่สอง (considering a second home purchase) ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพในการกำหนดเป้าหมายโฆษณา (targeted advertising) ได้อย่างแม่นยำยิ่งกว่าเดิม ซึ่งนี่คือจุดที่ความขัดแย้งเชิงจริยธรรมเริ่มปรากฏขึ้น: แม้ว่า OpenAI จะยืนยันว่าข้อมูลที่ใช้ในการสนทนาจะไม่ถูกนำไปใช้เพื่อการฝึกอบรมแบบจำลองเพื่อวัตถุประสงค์ในการขายหรือโฆษณาโดยตรง แต่เส้นแบ่งระหว่างการใช้ข้อมูลเพื่อปรับปรุงบริการและการใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการสร้างรายได้ยังคงมีความคลุมเครือ
ผลกระทบเชิงกลยุทธ์ต่อ OpenAI และอนาคตของการสร้างรายได้
ปัจจุบัน OpenAI มุ่งเน้นการพัฒนารูปแบบธุรกิจที่มาจากการสมัครสมาชิก (subscriptions) และการให้สิทธิ์เข้าถึง API สำหรับองค์กร (enterprise API access) แต่ความเป็นไปได้ในการเปิดตัวรูปแบบการสร้างรายได้ที่สนับสนุนโดยโฆษณา (ad-supported revenue model) ยังคงมีน้ำหนัก หากบริษัทตัดสินใจก้าวเข้าสู่ตลาดโฆษณา ข้อมูลที่ละเอียดอ่อนซึ่งรวบรวมผ่านคุณสมบัติหน่วยความจำจะเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงยิ่ง การใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่ออำนวยความสะดวกในการกำหนดเป้าหมายโฆษณา อาจกลายเป็นเส้นทางในการสร้างรายได้ที่ดึงดูดใจ และเร่งการเติบโตทางธุรกิจของ ChatGPT อย่างก้าวกระโดด
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าวมีความเสี่ยงที่สำคัญ การนำข้อมูลส่วนบุคคลที่รวบรวมโดยตรงจากการสนทนาของผู้ใช้ไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาด อาจสร้างกระแสต่อต้านจากผู้ใช้ที่ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว (privacy-conscious users) และอาจละเมิดคำมั่นสัญญาเดิมของผู้นำของบริษัท ที่เคยเตือนถึง “โลกดิสโทเปีย” ของ AI ที่ขับเคลื่อนด้วยการโฆษณา
การจัดการความคาดหวังของผู้ใช้และความโปร่งใสในการใช้ข้อมูลส่วนตัวที่เก็บไว้ในหน่วยความจำของ ChatGPT จะเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับ OpenAI ซึ่งต้องรักษาสมดุลระหว่างนวัตกรรม, ศักยภาพทางการค้า, และความรับผิดชอบด้านจริยธรรมในการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ในยุค AI ที่ก้าวหน้า
This Article is sponsored by Gnoppix AI (https://www.gnoppix.org)