ปี่ชัย ซีอีโอของกูเกิลจัดการความคาดหวังเกี่ยวกับความคืบหน้าของโมเดลฟอร์ไกรสเตจสำหรับการเปิดตัวในปี 2568

การคาดการณ์อนาคตของโมเดลปัญญาประดิษฐ์ระดับแนวหน้า: Gemini 3 และความท้าทายในการพัฒนา

ในการประชุมด้านการเงินเมื่อเร็ว ๆ นี้ นายสุมาวรณ์ (Sundar Pichai) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Google ได้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกลยุทธ์และทิศทางของการพัฒนาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับกำหนดการของโมเดล Gemini 3 ที่ทางบริษัทคาดการณ์ว่าจะเปิดตัวในปี 2568 (2025) คำกล่าวของนายสุมาวรณ์เป็นการจัดการความคาดหวังของตลาดอย่างรอบคอบ โดยเน้นย้ำถึงธรรมชาติของความก้าวหน้าทางด้าน AI ที่อาจไม่ได้เป็นไปอย่างรวดเร็วและเป็นเส้นตรงเสมไป

ความจริงเบื้องหลังความก้าวหน้าของโมเดลแนวหน้า (Frontier Models)

นายสุมาวรณ์ ได้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การพัฒนาโมเดล AI ระดับ “แนวหน้า” หรือ “Frontier Models” ซึ่งเป็นโมเดลที่มีขนาดใหญ่และความสามารถสูงที่สุดในปัจจุบันนั้น จำเป็นต้องมีการลงทุนทรัพยากรด้านการประมวลผล (Compute) ในระดับที่สูงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และการก้าวหน้าในปัจจุบันนั้น แม้ว่ายังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็เริ่มเข้าสู่ช่วงที่ความก้าวหน้าไม่ได้เป็นแบบก้าวกระโดด (Step-change) เหมือนในระยะเริ่มแรก

นี่หมายความว่า แม้ Google จะยังคงมุ่งมั่นในการวิจัยและพัฒนา Gemini 3 แต่การพัฒนาความสามารถจากรุ่น Gemini 2 ไปสู่ Gemini 3 อาจต้องใช้เวลาและทรัพยากรที่มากขึ้น และผลลัพธ์ที่ได้อาจจะไม่สามารถเทียบได้กับความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างโมเดลต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

การจัดสรรทรัพยากรและการควบคุมต้นทุน

อีกหนึ่งประเด็นที่ผู้นำของ Google ให้ความสำคัญคือ การจัดการการใช้จ่ายด้านทุน (Capex) ซึ่งมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการพัฒนา AI โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดหาหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPUs) ที่มีประสิทธิภาพสูง นายสุมาวรณ์เน้นว่า แม้บริษัทจะยังคงลงทุนอย่างต่อเนื่องในด้านโครงสร้างพื้นฐาน AI แต่ก็ได้มีการควบคุมการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ และคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตของการใช้จ่ายด้านทุนจะชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 (2024)

ความท้าทายนี้ตอกย้ำถึงแนวคิดที่ว่า การสร้างโมเดลขนาดใหญ่ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของอัลกอริทึมเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของการบริหารจัดการต้นทุนพลังงานและฮาร์ดแวร์ในระดับที่สูงมาก ซึ่งส่งผลต่อกำหนดการของการเปิดตัวผลิตภัณฑ์รุ่นถัดไป

การมุ่งเน้นที่ Gemini และกลยุทธ์การใช้งาน

กลยุทธ์หลักของ Google ยังคงอยู่ที่การฝังความสามารถของโมเดล Gemini เข้าไปในผลิตภัณฑ์และบริการหลักทั้งหมดของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นการค้นหา (Search), การโฆษณา (Ads), Android, และระบบคลาวด์ (Cloud) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลักดัน Gemini 1.5 Pro ซึ่งเป็นโมเดลที่ปัจจุบันมีความโดดเด่นในด้านความสามารถในการประมวลผลบริบทที่ยาวนาน (Long Context Window)

ถึงแม้ว่า Gemini 3 จะเป็นเป้าหมายระยะยาว แต่การมุ่งเน้นในระยะสั้นคือการปรับปรุงและส่งมอบ Gemini 2 และ Gemini 1.5 ให้เกิดมูลค่าสูงสุดแก่ผู้ใช้งานและลูกค้าองค์กรก่อน

มุมมองเชิงธุรกิจต่อปี 2568 (2025)

กำหนดการเปิดตัว Gemini 3 ในปี 2568 นั้น สะท้อนถึงการวางแผนเชิงกลยุทธ์ที่ยอมรับว่าการวิจัยพัฒนาในระดับ “แนวหน้า” นั้นมีความซับซ้อนและใช้เวลา การที่ Google ออกมาจัดการความคาดหวังตั้งแต่เนิ่น ๆ แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจว่าตลาดกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่การก้าวไปสู่จุดสูงสุดของนวัตกรรมนั้นต้องอาศัยการสะสมทรัพยากรและความรู้เชิงลึกอย่างเป็นระบบ

การพัฒนา AI ในปัจจุบันจึงไม่ใช่การแข่งขันเพื่อออกรุ่นใหม่ให้เร็วที่สุดเท่านั้น แต่เป็นการแข่งขันด้านความมั่นคงของโครงสร้างพื้นฐาน ความสามารถในการประมวลผล และการบูรณาการโมเดลเข้ากับระบบนิเวศทางธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ

ดังนั้น Gemini 3 จึงเป็นหมุดหมายขนาดใหญ่ที่ Google วางแผนไว้ แต่เส้นทางสู่การเปิดตัวนั้นต้องผ่านการจัดสรรเงินทุนอย่างชาญฉลาดและการยอมรับข้อจำกัดทางเทคนิคในการพัฒนาโมเดลที่มีความซับซ้อนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

This Article is sponsored by Gnoppix AI (https://www.gnoppix.org)