ช่องโหว่สำคัญ 7 ประการในเคอร์เนลลินุกซ์ที่ถูกโจมตีในปี 2025
ในปี 2025 ชุมชนความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้เผชิญกับการโจมตีที่ใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ในเคอร์เนลลินุกซ์ (Linux Kernel) หลายครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นต่อเนื่องในการบำรุงรักษาและการอัปเดตระบบอย่างสม่ำเสมอ ช่องโหว่เหล่านี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อเซิร์ฟเวอร์และโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้ระบบปฏิบัติการลินุกซ์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงอุปกรณ์ปลายทางที่ฝังตัวและระบบคลาวด์ที่พึ่งพาความเสถียรและความปลอดภัยของเคอร์เนล บทความนี้จะสรุปช่องโหว่สำคัญเจ็ดประการที่ถูกค้นพบและถูกใช้ประโยชน์จากการโจมตีในปีดังกล่าว
1. ช่องโหว่การใช้หน่วยความจำหลังการจัดสรร (Use-After-Free) ในระบบไฟล์ XFS
หนึ่งในช่องโหว่ที่ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางคือปัญหา Use-After-Free (UAF) ที่พบในส่วนประกอบของระบบไฟล์ XFS ซึ่งเป็นหนึ่งในระบบไฟล์เริ่มต้นที่สำคัญสำหรับหลายการติดตั้งของลินุกซ์ ช่องโหว่นี้อนุญาตให้ผู้โจมตีที่มีสิทธิ์เข้าถึงระบบในระดับผู้ใช้ (Local User) สามารถยกระดับสิทธิ์ของตนเองไปเป็นสิทธิ์ระดับเคอร์เนล (Privilege Escalation) ได้อย่างง่ายดาย ผู้โจมตีใช้ประโยชน์จากข้อผิดพลาดในการจัดการวงจรชีวิตของโครงสร้างข้อมูลภายใน XFS เพื่อเข้าถึงพื้นที่หน่วยความจำที่ควรจะถูกปล่อยคืนไปแล้ว ทำให้สามารถฉีดโค้ดที่เป็นอันตรายเข้าไปทำงานในบริบทของเคอร์เนลได้ การโจมตีนี้ได้รับการรายงานว่าเป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่ถูกใช้ในการโจมตีแบบไม่ต้องมีการสัมผัสระบบจากภายนอก (Zero-Click Attacks) บนเซิร์ฟเวอร์ที่มีการเข้าถึงแบบจำกัด
2. ข้อบกพร่องในการจัดการหน่วยควบคุม (Control Group - cgroup) เวอร์ชัน 2
ข้อบกพร่องด้านความปลอดภัยที่ร้ายแรงอีกประการหนึ่งเกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรผ่าน Control Group (cgroup) เวอร์ชัน 2 ซึ่งกลไกนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการแยกบริบท (Context Separation) และการจำกัดทรัพยากรในสภาพแวดล้อมคอนเทนเนอร์ (Containerized Environments) นักวิจัยพบว่ามีช่องโหว่ที่อนุญาตให้โปรเซสที่ทำงานในคอนเทนเนอร์ที่มีสิทธิ์จำกัด สามารถหลบเลี่ยงการจำกัด cgroup บางประการและใช้ทรัพยากรเกินกว่าที่กำหนดไว้ได้ การรั่วไหลของข้อมูลนี้อาจนำไปสู่การโจมตีแบบ Denial of Service (DoS) หรือในบางกรณี อาจเปิดเส้นทางให้เกิดการเข้าถึงไฟล์นอกขอบเขตที่กำหนดของคอนเทนเนอร์
3. ช่องโหว่ Race Condition ในส่วนของ Netfilter
Netfilter ซึ่งเป็นเฟรมเวิร์กที่ใช้ในการจัดการแพ็กเก็ตเครือข่ายถูกโจมตีโดยใช้ช่องโหว่ลักษณะ Race Condition โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อระบบมีการประมวลผลทราฟฟิกเครือข่ายที่มีปริมาณมากพร้อมกัน ในสถานการณ์ที่มีการแข่งขันกันในการเข้าถึงและแก้ไขโครงสร้างข้อมูลที่จัดการสถานะของการเชื่อมต่อ (Connection Tracking) ผู้โจมตีสามารถสร้างแพ็กเก็ตที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจงเพื่อทำให้เกิดความไม่สอดคล้องของข้อมูล ซึ่งนำไปสู่การเขียนข้อมูลทับในพื้นที่หน่วยความจำที่ไม่ได้ตั้งใจ การโจมตีนี้ถือเป็นภัยคุกคามต่อความสมบูรณ์ของระบบเครือข่ายโดยรวม
4. การรั่วไหลของข้อมูลในไดรเวอร์กราฟิก Nouveau
สำหรับระบบที่มีการใช้งานการแสดงผลแบบโอเพนซอร์สของ NVIDIA ผ่านไดรเวอร์ Nouveau พบช่องโหว่ที่ส่งผลให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูล (Information Leakage) จากหน่วยความจำของเคอร์เนล ข้อมูลนี้รวมถึงส่วนของพื้นที่หน่วยความจำที่อาจมีข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น คีย์การเข้ารหัสหรือข้อมูลบริบทของโปรเซสอื่น ๆ แม้ว่าการโจมตีนี้จะต้องการการเข้าถึงระดับผู้ใช้เพื่อโหลดโมดูลที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ แต่ผลกระทบต่อความลับของข้อมูลในระบบนั้นถือว่าสูง
5. ข้อผิดพลาดในการตรวจสอบขนาดของบัฟเฟอร์ใน KVM
ในส่วนของ Kernel-based Virtual Machine (KVM) ซึ่งเป็นโมดูลการจำลองเสมือน (Virtualization) ที่สำคัญ ได้มีการระบุถึงข้อผิดพลาดในการตรวจสอบขนาดของบัฟเฟอร์ในการดำเนินงานบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างเครื่องเสมือน (Guest) กับโฮสต์ (Host) ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้เครื่องเสมือนที่ถูกควบคุมโดยผู้โจมตีสามารถส่งข้อมูลที่มีขนาดเกินกว่าที่บัฟเฟอร์ที่จัดสรรไว้จะรองรับได้ ทำให้เกิดภาวะ Buffer Overflow ซึ่งนำไปสู่การรันโค้ดนอกขอบเขตและอาจส่งผลให้มีการควบคุมระบบโฮสต์ได้
6. ช่องโหว่การจัดการอินพุต/เอาต์พุต (I/O) ผ่านไฟล์ระบบใหม่
การแนะนำระบบไฟล์ (Filesystem) หรือวิธีการจัดการ I/O ใหม่ๆ ในเคอร์เนลบางเวอร์ชันของปี 2025 ได้นำมาซึ่งข้อผิดพลาดในการจัดการคำสั่ง I/O ที่ซับซ้อน ผู้โจมตีใช้ประโยชน์จากความไม่สมบูรณ์ของการจัดการสถานะภายในของ I/O Stack เพื่อทำให้เกิดการเข้าถึงหน่วยความจำที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นช่องทางหลักในการยกระดับสิทธิ์ของผู้ใช้ระดับล่าง
7. ปัญหาการล็อกที่ไม่มีประสิทธิภาพในโมดูลการจัดการกระบวนการ
ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการล็อก (Locking Mechanisms) ที่ไม่มีประสิทธิภาพถูกพบในโมดูลสำคัญที่จัดการการสร้างและการยกเลิกกระบวนการ (Process Management) ภายใต้โหลดงานที่สูง (High Load) ความล้มเหลวในการรักษาสภาพความพร้อมกัน (Concurrency) อย่างสมบูรณ์นำไปสู่การเข้าถึงข้อมูลที่ถูกแก้ไขโดยเธรดอื่นพร้อมกัน ปัญหานี้ส่งผลให้เกิดความไม่เสถียรของระบบ และในกรณีที่เลวร้ายที่สุด สามารถใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการแทรกแซงการดำเนินการของเคอร์เนลได้
การตรวจสอบและปรับใช้แพตช์ความปลอดภัยสำหรับช่องโหว่เหล่านี้ถือเป็นมาตรการป้องกันพื้นฐานที่ผู้ดูแลระบบไม่สามารถละเลยได้ในปี 2025 เพื่อรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบนิเวศลินุกซ์โดยรวม
This Article is sponsored by Gnoppix AI (https://www.gnoppix.org)